วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ระบบทางเดิน อาหาร

ระบบทางเดินอาหาร (digestive system)
            ระบบทางเดินอาหาร (digestive system)คือ ทางเดินอาหาร (กระเพาะลำไส้และอวัยวะที่เกี่ยวข้อง เช่น ต่อมน้ำลาย ตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อน หน้าที่ : ทำหน้าที่ย่อยอาหาร และดูดซึมอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกาย สร้างสารที่จำเป็น ทำลายสารพิษ และขับถ่ายกากอาหารออกระบบทางเดินอาหาร ได้แก่




ปาก


















mouth (oral cavity)
ต่อมน้ำลาย
salivary glands
คอหอย
throat (pharynx)
หลอดอาหาร
esophagus
กระเพาะอาหาร
stomach
ตับ
liver
ตับอ่อน
pancreas
ถุงน้ำดี
gallbladder
ลำไส้เล็ก
small intestine
ไส้ติ่ง
appendix
ลำไส้ใหญ่
large intestine
ลำไส้ใหญ่ส่วนทวารหนัก
rectum
ทวารหนัก
anus
เป็นต้น
 
ระบบทางเดินอาหาร (Digestive system) แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
            1. ส่วนระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก
            2. ต่อมสร้างน้ำย่อย ได้แก่ ต่อมน้ำลาย ต่อมสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก ตับอ่อน และตับ สารอาหารที่ต้องผ่านกระบวนการย่อยให้มีขนาดของ โมเลกุลเล็กลง คือ โปรตีน(protein) กรดอะมิโน คาร์โบไฮเดรต(carbohydrate) น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharides) ไขมัน(fat) กรดไขมันและกลีเซอรอล(fatty acid และglycerol)
การย่อยอาหาร (Digestion) มี 2 ตอน คือ
            ตอนที่ 1 การย่อยเชิงกล (Mechanical digestion) เป็นตอนที่ อาหารชิ้นใหญ่ถูกทำให้ชิ้นเล็กลง โดยการบดเคี้ยวด้วยฟัน หรือการบีบตัวของทางเดินอาหาร
            ตอนที่ 2 การย่อยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นตอนที่โมเลกุลของสารอาหารโมเลกุลใหญ่ถูกเปลี่ยนสภาพให้มีโมเลกุลเล็กลงโดยใช้เอนไซม์(enzyme)เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เอนไซม์ (Enzyme)คือ อินทรียสารพวกโปรตีน เพื่อทำ หน้าที่กระตุ้นในปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในสิ่งมีชีวิตนั้น
ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีน้ำเข้ามาร่วมในกระบวน การแตกสลาย สารอาหารโมเลกุลใหญ่ให้มีโมเลกุลเล็กลง เราเรียกกระบวนการแตกสลายสารอาหารโมเลกุลใหญ่ให้ มีโมเลกุลเล็กลงโดยอาศัยน้ำว่า ไฮโดรลิซิส (hydrolysis)
การย่อยอาหารในปาก
            ฟัน (Teeth) ทำหน้าที่บดอาหารให้คลุกเคล้ากับน้ำลาย ฟันของคนเรามี 2 ชุด คือ
            - ฟันน้ำนม (Deciduous teeth) เป็นฟันชุดแรก มี 20 ซี่
            - ฟันแท้ (Permanent teeth) เป็นฟันชุดที่สองมีจำนวน 32 ซี่ จะงอกขึ้นครบเมื่ออายุ 13 ปี ฟันแท้มีชนิดต่าง ๆ ดังนี้
            1. ฟันหน้า หรือฟันตัด(incisors) ขากรรไกรบน 4 ซี่ ล่าง 4 ซี่ ทำหน้าที่ตัดอาหาร
            2. ฟันเขี้ยว (canines) ขากรรไกรบน 2 ซี่ ล่าง 2 ซี่ ทำหน้าที่ ตัด ฉีก หรือแยกอาหารออกจากกัน
            3. ฟันกรามน้อย (premolars) ขากรรไกรบน 4 ซี่ ล่าง 4 ซี่ ทำหน้าที่ตัดและฉีกอาหาร
            4. ฟันกราม(molars) ขากรรไกรบน 6 ซี่ ล่าง 6 ซี่ ทำหน้าที่ เคี้ยวและบดอาหาร
ฟันประกอบด้วย 
            - ตัวฟัน (Crown) มีสารสีขาวเนื้อแน่นเคลือบอยู่ ช่วย ป้องกันฟันผุ เรียกว่า สารเคลือบฟัน(enamel)
            - คอฟัน (Neck)
            - รากฟัน (Root)
ลิ้น (Tongue) มีหน้าที่สำคัญในการรับรสอาหาร เพราะที่ลิ้นมีปุ่มรับรส เรียกว่า taste bubs และยังมีความสำคัญใน การพูดของคน
ต่อมน้ำลาย (Salivary glands) ของคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วย น้ำนม มี 3 คู่
            1. ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น
            2. ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่าง
            3. ต่อมน้ำลายข้างกกหู มีท่อนำสารออก เรียกว่าท่อ สเตนสัน(Stenson's duct) ถ้าหากมีเชื้อไวรัสเข้าไปที่ต่อมนี้ จะทำให้เกิดโรคคางทูม (mump)
น้ำลาย(Saliva) มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน มีปริมาณแคลเซียม สูงมาก ทำหน้าที่ละลายอาหาร ป้องกันไม่ให้ปากแห้ง และ ช่วยในการเคลื่อนไหวของลิ้นขณะพูด ศูนย์ควบคุมการ หลั่งน้ำลาย คือสมองส่วนที่อยู่ระหว่าง medulla obongataและ pons
น้ำลาย (Saliva) ประกอบด้วย
            1. เอนไซม์อะไมเลส (amylase) ช่วยย่อยสลายคาร์โบ ไฮเดรต
            2. น้ำ (99.5%) เป็นตัวทำละลายสารอาหาร
            3. เมือก(mucin) เป็นสารคาร์โบไฮเดรตผสมโปรตีน ทำให้ อาหารรวมกันเป็นก้อน ลื่น และกลืนสะดวก
การหลั่งน้ำลาย (Salivation) จะเกิดเมื่อระบบประสาทพารา ซิมพาเธติก ถูกกระตุ้น การย่อยอาหารของน้ำลาย
การทดสอบแป้ง ใช้สารละลายไอโอดีน (สีน้ำตาลแกม เหลืองถ้ามีแป้ง(starch) จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
การทดสอบน้ำตาล ใช้สารละลายเบเนดิกต์ ซึ่งมีสีฟ้า จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง แต่น้ำตาลซูโครสไม่เปลี่ยนสี
คลอเลสเตอรอล(Cholesterol) ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดนิ่ว ในถุงน้ำดี(Gallstones) เกิดการอุดตันที่ท่อน้ำดี เกิดโรคดีซ่าน (Jaundice) มีผลทำให้การย่อยอาหารประเภทไขมัน บกพร่อง
            - ตับอ่อน(Pancreas) จะหลั่งน้ำย่อยออกมาอยู่ภายใต้การ ควบคุมของลำไส้เล็ก
            - ถุงน้ำดี (Gall bladder) จะหลั่งน้ำดีออกมาอยู่ภายใต้การ ควบคุมของลำไส้เล็ก
            - ลำไส้เล็ก จะหลั่งน้ำย่อยออกมาอยู่ภายใต้การควบคุมของ ระบบประสาทอัตโนมัติ(ANS)
            - การดูดซึม B12 ของลำไส้เล็ก อยู่ภายใต้การควบคุม ของกระเพาะอาหาร
            - การหลั่งน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร อยู่ภายใต้การควบคุม ของกระเพาะอาหาร
สรุปเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหารของคน
            1. ต่อมน้ำลาย สร้าง pHที่เหมาะสม : น้ำลายกลางหรือกรดเล็กน้อย 
เอนไซม์ : amylase ย่อย : starch และ glycogen ผลที่ได้ maltose
            2. ต่อมสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
สร้าง pHที่เหมาะสม : gastric juice และ HCl(กรดสูงเอนไซม์ : pepsin และ rennin ย่อย : pepsinย่อย proteinและ rennin ย่อย proteinในน้ำนม ผลที่ได้ : เอนไซม์ pepsin ได้ peptide และเอนไซม์ rennin ได้ลักษณะเป็นลิ่ม ๆ (Paracasein)
            3. ตับอ่อน สร้าง pH ที่เหมาะสม : pancreatic juice และ NaHCO3 (ด่างอ่อน
เอนไซม์ :
            1. lipase ย่อย fat ผลที่ได้ fatty acid และ glucerol
            2. amylase ย่อย starch และ glycogen ผลที่ได้ maltose
            3. trypsin ย่อย protein และ polypeptide ผลที่ได้ peptide
            4. chymotrypsin ย่อย protein และ polypeptide ผลที่ได้ peptide
            5. carcoxypeptidase ย่อย peptide ผลที่ได้ amino acid
            6. nuclease ย่อย nucleic acid ผลที่ได้ nucleotide
            4. ต่อมสร้างน้ำย่อยในลำไส้เล็ก สร้าง pH ที่เหมาะสม : intestinal juice (ด่างอ่อน)
เอนไซม์ :
            1. enterokinase กระตุ้น trypsin ผลที่ได้เปลี่ยน trypsinogen เป็นtrypsin 2. maltase ย่อย maltoseผลที่ได้ glucose+glucose
            3. sucrase ย่อย sucrose ผลที่ได้ glucose+fructose
            4. lactase ย่อย lactose ผลที่ได้ glucose+galactose
            5. lipase ย่อย fat ผลที่ได้ fatty acid และ glycerol
            6. carboxypeptidase ย่อย peptide ผลที่ได้ aminoacid
            7. aminopeptidase ย่อย peptide ผลที่ได้ amino acid
            8.dipeptidase ย่อย peptide ผลที่ได้ amino acid
            9. nuclease ย่อย nucleic acid ผลที่ได้ nucleotide
            5. ตับ สร้าง pH ที่เหมาะสม : blie (เก็บไว้ที่ถุงน้ำดี) (ด่างอ่อน)
เอนไซม์
            1. bile salt (ไม่ใช่ enzyme) ย่อยตีไขมันให้แตก(lipaseทำ หน้าที่ได้ดีขึ้นผลที่ได้ หยดไขมันเล็ก ๆ(emulsion)           
             2. bile pigment เกิดจากการสลายของ hemoglobin เกิด เป็นสีในอุจจาระ

บรรณานุกรม และหนังสืออ่านเพิ่มเติม
หนังสือ
            1) ปรีชา สุวรรณพินิจนงลักษณ์ สุวรรณพินิจ, 2543. ชีววิทยา 1. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย .
            2) พิมพันธ์ เตชะคุปต์ และคณะ, 2547. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 . กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จำกัด.
            3) วิชาการกรม, 2545. หนังสือเรียน ว 203 วิทยาศาสตร์ เล่ม 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 . กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
            4) วิชาการกรม, 2546. คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
            5) ศึกษาธิการกระทรวง , 2544 . หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 . กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธิการ .
            6) สุพจน์ แสงมณี . กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 (.1 - .3) , 2546. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์พิมพ์ประสานมิตร.
            7) ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ,สถาบัน , 2546. การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มวิทยาศาสตร์ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.

สืบค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556


วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

น้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ


น้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ


ปัญหากลิ่นปากเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และแสดงถึงปัญหา
สุขภาพในช่องปากอีกด้วย การแก้ไขด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ที่มีส่วนผสม
ของแอลกอฮอล์เกินมาตรฐาน (เข้มข้นมากกว่า 26%) ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็ง
บริเวณศรีษะ และลำคอ
การดับกลิ่นปากด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ขอแนะนำ 2 สูตรน้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ ดังนี้

1. ขิง และมะนาว
ใช้น้ำขิงสด 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้วผสมให้เข้ากัน ใช้กลั้วปากวันละ 1 ครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า

 2. ใบฝรั่ง
ล้างใบฝรั่งให้สะอาด นำมาหรือตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำเกลือ 0.9%(หาซื้อได้
ตามร้านขายยาทั่วไป) แช่ไว้ 10-15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ใช้บ้วนปาก
แม้จะมีส่วนผสมที่หาได้ง่าย และทำเองไม่ยาก แต่การแก้ที่ต้นตอของปัญหา
ที่แท้จริง คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ด้วยการทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีจากภายใน
อย่างแท้จริง
 

ที่มา : นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11 ฉบับ 1 มีนาคม 2552, Mouthwash 'can cause oral cancer' - http://www.telegraph.co.uk, มาทำน้ำยาบ้วนปากใบฝรั่ง ดับกลิ่นปากกันดีกว่า - http://thaihof.log.in.th
ภาพ : ขิง - http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Gingembre.jpg,
มะนาว - http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Citrus_lime.png,
ฝรั่ง - http://th.wikipedia.org/wiki/ฝรั่ง


สืบค้น เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556

ผมงอก...ยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่


ผมหงอก..ยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่

ในวัยที่เริ่มมีผมหงอกเรามักจะไม่กล้าถอนกัน เพราะเชื่อว่าเมื่อถอนผมหงอก
เชื้อผมหงอกจะกระจายจากรากผมเส้นที่หงอก แล้วลามไปที่รากผมบริเวณใกล้เคียง
(อย่างกับโรคติดต่อ) จนทำให้ผมหงอกทั้งศรีษะ

แต่ในความเป็นจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอน
ก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้น
จะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอก
จึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจากปัจจัยอื่นต่างหาก

เพื่อเป็นการป้องกันที่สาเหตุ ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย เราควรดูแลผมให้ดกดำ
ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น งาดำ เป็นต้น หรือถ้าหงอกมากแล้วไม่สบายใจ
จะพิจารณาเป็นการย้อมผมดำแทนก็ได้ แล้วแต่จะเลือกวิธีการที่สะดวก
และเหมาะกับตนเอง


ที่มา : นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11 ฉบับเดือน พ.ย. 2551
http://www.lib.ru.ac.th/miscell/silver_gray_hair.html สืบค้น เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556

น้ำยาล้างผักสูตรทำเองง่ายๆ


น้ำยาล้างผักสูตรทำเองง่ายๆ


การขนส่งผักกว่าจะถึงมือผู้ซื้อ แน่ใจได้อย่างไรว่าสะอาด ปลอดภัย และปราศจาก
สารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

การใช้น้ำยาล้างผัก สามารถลดสารพิษในผักได้มากกว่าการล้างด้วยน้ำเปล่า จะซื้อหามาใช้งาน หรือต้องการประหยัดด้วยการทำเอง ก็มีสูตรน้ำยาล้างผักที่สามารถ
ทำเองได้ง่ายๆ มาแนะนำ 3 สูตร ดังนี้

1. สูตรน้ำส้มสายชู (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาดหรือน้ำประปาธรรมดา 15-20 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง

2. สูตรน้ำเกลือ (ลดสารพิษได้ถึง 60-70%)
นำเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 4-5 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง

3. สูตรน้ำโซเดียมไบคาร์บอเนต (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 20-25 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง

การรับประทานผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรล้างก่อนรับประทาน เพราะ ช่วยให้
ผักสะอาด และลดสารพิษที่ปนเปื้อนมากับผักได้ ใส่ใจสักนิดเพื่อสุขภาพของตัวคุณ

ภาพประกอบจาก http://www.sxc.hu/photo/1174376

ที่มา : หนังสือ สวยด้วยผัก โดย ดิฐลดา เพียงกูลย์
http://www.lib.ru.ac.th/miscell/cleaning-vegetable.html สืบค้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ดูแลสุขภาพดวงตาง่ายๆด้วยโยคะสายตา


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ดูแลสุขภาพดวงตาง่ายๆ ด้วยโยคะสายตา

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ดูแลสุขภาพดวงตาง่ายๆด้วยโยคะสายตา
 


ชีวิตยุคไอที การใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัย
เพื่อทำงาน หรือติดตามข่าวสาร จำเป็นต้องใช้สายตาจ้องมองเป็นเวลานาน การดูแลสุขภาพดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เทคนิคเพื่อบริหารดวงตาให้มีสุขภาพดีนั้นมีหลากหลาย โยคะมีการบริหารดวงตา
โดยต้องถอดแว่นหรือคอนแทคเลนส์ออกก่อน แล้วทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 หลับตาแล้วถูฝ่ามือสองข้างเข้าหากันไปมาอย่างเร็วจนรู้สึกร้อน

ขั้นตอนที่ 2 ประคบฝ่ามือทั้งสองข้างนาบกับหนังตานานประมาณ 1 นาที
ให้รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่จากฝ่ามือสู่ดวงตา

ขั้นตอนที่ 3 ผ่อนคลายความเคร่งเครียดทั้งมวลลงพร้อมทั้งหายใจลึกๆ
นำมือออก ลืมตาขึ้น

ขั้นตอนที่ 4 เคลื่อนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมองไปยังที่ไกลๆ จากมุมซ้ายสุด
แล้วกวาดสายตาไปยังมุมขวาสุด ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 5 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาจากมุมขวาบนไปยัง
มุมซ้ายล่างเป็นเส้นทแยงมุม ทำซ้ำๆ กัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 6 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาโดยกวาดสายตาเป็นวง
(ทิศทางตามเข็มนาฬิกา) ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 7 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว
เคลื่อนสายตาจากบนสุดลงมายังจุดล่างสุด
โดยมองไปยังจุดไกลๆ ที่สุดด้านบน
แล้วกวาดสายตาลงมายังจุดด้านล่างอย่างช้าๆ
ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง ขั้นตอนง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตนเองเพียงแค่นี้ ก็สามารถดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดี


ที่มา: เคล็ดลับ...เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีของคุณ
http://www.lib.ru.ac.th/miscell/eye-yoga.html สืบค้น เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับครีมกันแดด


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด

อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเอง
มองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้

11. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถ
อยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่น
ถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15
จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือก
ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น

2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ

3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า..
มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบ
และไหม้ของผิวหนัง
หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้น
ส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆ
ก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100%
ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง
ควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด
เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันที
ถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน

ที่มา : นิตยสาร "ผาสุก" (phasuk)
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด
ปีที่ 31 ฉบับที่ 163 เมษายน - มิถุนายน 2551

http://www.lib.ru.ac.th/miscell/sunblock_lotion.html สืบค้นเมื่อ วันที่  31 มกราคม 2556